วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กรุงสต๊อกโฮม สวีเดน


             พระราชวังหลวง (สวีเดน: Stockholms slott หรือ Kungliga slottet; อังกฤษ: The Stockholm Palace หรือ the Royal Palace) เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์สวีเดนและเป็นหนึ่งในพระราชวังที่งดงามมากที่สุดในบรรดาพระราชวังทั้งหมดของยุโรป ลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมบาโรค สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1754 ภายในมีห้องต่างๆ รวมกัน 608 ห้องซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี ในบรรดาห้องต่างๆ ส่วนที่เป็นจุดเด่นได้แก่ ห้องพระคลัง วิหารหลวง ห้องโถงว่าการของรัฐ (Hall of State) ห้องพักของขุนนางลำดับต่างๆ และพิพิธภัณฑ์โบราณสถานกุสตาฟที่ 3 นอกจากนี้ความน่าสนใจอีกอย่างของการเที่ยวชมพระราชวังหลวงคือการผลัดเปลี่ยนเวรยามประจำวันของกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งจะเกิดขึ้นในเวลาก่อนเที่ยงของทุกวัน
           เห็นอย่างนี้เเล้ว มโนว่าตัวเองกำลังเป็นเจ้าหญิง สวมชุดสวยๆ ใส่มงกุฎ กำลังเต้นรำกับเจ้าชาย แอร้ยๆๆๆ   >////<   เเค่คิดก็เขิลเเล้วว ขอมโนหน่อย๕๕๕

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ต้นเพชรสายรุ้ง


ชื่อสามัญ                    -
ชื่อวิทยาศาสตร์          Cordyline ferminalis "bicolor"
ตระกูล                       LILIACEAE

ลักษณะทั่วไป
                เพชรสายรุ้งเป็นไม้พวกเดียวกับหมากผู้หมากเมีย ที่มีลำต้นตรงกลมขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นสีน้ำตาลมีข้อถี่ตามลำต้นซึ่งเป็นรอยของกาบใบ ลักษณะเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบเข้าหาก้านใบ ขนาดใบกว้างประมาณ2-3 นิ้ว ยาวประมาณ 8-12 นิ้ว ใบอ่อนจะมีสีเขียวปนขาว และสีชมพูอ่อน เมื่อใบแก่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว สีม่วงหรือแดงเข้มใบเป็นมันจะแตกใบรวมกันตรงส่วนยอดของลำต้นสลับเป็นวงกลมก้านใบหรือกาบใบสีแดงเข้ม ดอกจะแตกออกตรงส่วนยอดออกดอกเป็นช่อชูขึ้นมาดอกมีขนาดเล็กสีขาว

การเป็นมงคล
             คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเพชรสายรุ้งไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดคุณค่าที่สูง เพราะเพชรคืออัญมณีที่มีค่าสูง ดังนั้นเพชรสายรุ้งจึงเป็นของสูงที่มีความสวยงามเหมือนสายรุ้ง เป็นเสน่ห์ที่ใบเพราะมีสีสรรสวยงามดูมีค่ายิ่งนัก ดังนั้นเพชรสายรุ้ง จึงเป็นไม้มงคลนาม นอกจากนี้โบราณยังมีความเชื่ออีกว่า ยังทำให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข เพราะเพชรสายรุ้ง เป็นพรรณไม้เดียวกับหมากผู้หมากเมีย ซึ่งคนไทยโบราณนิยมปลูกไว้ประจำบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
            เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเพชรสายรุ้งไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

การปลูก    มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 8-12 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ขุยมะพร้าว:ดินร่วนอัตรา  1 : 1 : 1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง1 :2 ปี/ครั้งเพราะการขยายตัวของทรงพุ่มโตขึ้นและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
2.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วรอบบ้านหรือบริเวณสวนหน้าบ้านขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2  ผสมดินปลูก

การดูแลรักษา
แสง                          ต้องการแสงแดดรำไร หรือแสงแดดปานกลาง
น้ำ                             ต้องการปริมาณน้ำมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง
ดิน                           ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ต้องการความชื้นสูง
ปุ๋ย                           ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ 5-6 ครั้ง/ปี                              
การขยายพันธ์          การปักชำ วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การปักชำ
โรค                          ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคพอสมควร
แมลง                        เพลี้ยหอย
อาการ                       ถูกดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ยอดอ่อนและใบแห้งสีน้ำตาล และแห้งเหี่ยวใน                                                     ที่สุด
การป้องกัน               รักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก กำจัดมดที่เป็นพาหะแพร่ระบาดด้วย ยาเช่น                                     เดียวกับการกำจัด
การกำจัด                   ตัดกิ่งที่มีเพลี้ยหอยเผาไฟทำลาย ใช้ยาเมธาซีสทอกซ์ อัตราและคำแนะนำระบุไว้                                     ตามฉลาก




ลิ้นมังกร


ชื่อสามัญ             Mather - in - law's Tongue
ชื่อวิทยาศาสตร์      Sancivieria
ตระกูล                AGAVACEAE
ถิ่นกำเนิด               แถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ

ลักษณะทั่วไป
             ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ ที่มีลำต้นเป็นหัว หรือเหง้าอยู่ในดิน ลักษณะลำต้นเป็นข้อ ๆ ใบเกิดจากหัวที่โผล่ออมาพ้นดินเป็นกอ ลักษณะใบยาวปลายแหลม แข็งเป็นมัน ขอบใบเรียบ โค้งงอเล็กน้อย ขอบใบมีสีเหลืองกลางใบสีเขียวอ่อน ประด้วยเส้นสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้างปรมาณ 4-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกป็นชั้น ๆ ลักษณะดอกมีขนาดเล็ก ออเรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอกดอกมีสีขาวมีกลีบประมาณ 5 กลีบ นาดดอกบานเต็มที่ 2 เซนติเมตร    ลักษณะขนาดใบ และสีสรร จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ 

การเป็นมงคล 
             คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นลิ้นมังกรไว้ประจำบ้าน จะช่วยป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ เพราะลิ้นมังกร บางคนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหอกพระอินทร์ ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งของพระอินทร์ ที่ใช้ในการต่อสู้และปกป้องศัตรูจากภายนอก ดังนั้นลิ้นมังกรจึงเป็นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นไม้ที่มีความสำคัญของพระอินทร์ในสมัยพุทธกาล 

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก 
            เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นลิ้นมังกรไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

การปลูก มี 2 วิธี 
1.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนแต่คนโบราณนิยมปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน : อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก

2 การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-15 นิ้ว ใช้ปุ๋คอก หรือ ปุ๋ยหมัก :  ดินร่วน อัตรา : 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถางทุก 1-2 ปี เพราะเนื่องจากการขยายตัวของรากและหน่อแน่นเกินไปและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กล้วยไม้



ชื่อสามัญ                             Orchid
ชื่อวิทยาศาสตร์                   -
วงค์                                     ORCHIDACEAE

1. แพฟิโอเพดิลั่ม                : Paphiopedilum Slipper orchid
        ชื่อวิทยาศาสตร์           : Paphiopedilum sp.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : รองเท้านารี

2. คัทลียา                           : Cattleya    
         ชื่อวิทยาศาสตร์         : Cattleya hybrids.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : ราชินีกล้วยไม้       

3. แวนด้า                           : Vanda
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Vanda Teres.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : ฟ้ามุ้ย เอื้องโมกข์

4. เด็นโดรเบี้ยม                 : Dendrobium
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Dendrobium.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : หวาย

5. แอริดิส                           : Aerides
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Aerides
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        :เอื้องกุหลาบ หนวดพราหมณ์

6. รินคอสไตลิส                   : Rhynchostylis
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Rhynchostylis sp.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : ช้างกระ ช้างเผือก

7. แวนด๊อพซีส                  : Vandopsis      
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Vandopsis gigantea.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : พญาฉัททันต์ เขาพระวิหาร ลานนาไทย

8. แอสโคเซ็นตรั้ม             : Ascocentrum
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Ascocentrum sp.
         วงค์                           : ORCHIDACEAE 
         ชื่ออื่น                        : เข็มแดง เข็มม่วง

9. ดอไรทิส                        : Doritis
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Doritis pulcherrima. 
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : กล้วยไม้ม้าวิ่ง แดงอุบล

10. ไตรโคกล๊อตติส            : Trichoglottis
         ชื่อวิทยาศาสตร์          : Trichoglottis fuscearta
         วงค์                           : ORCHIDACEAE
         ชื่ออื่น                        : เสือโคร่ง
ลักษณะทั่วไปของกล้วยไม้                    
           กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นเป้นข้อปล้อง ผิวเปลือกเรียบบางสีเขียว การเจริญของลำต้นโดยการแยกหน่อออกจากข้อ กล้วยไม้บางชนิดเรียกส่วนของข้อและปล้องว่าลำลูกกล้วยบางชนิดมีระบบรากแบบกึ่งอากาศใบเรียงตัวสลับกันตามข้อลักษณะใบ
            เรียบสีเขียว ขนาดของใบและลักษณะอื่น ๆ แตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอดหรือข้อของลำต้น ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 10-30 ดอก ลักษณะดอกมีเดือยอยู่ตรงกลาง กลีบดอกแยกออกเป็นส่วน ๆ เรียงตัวกันรอบเกสร มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ ซึ่งมีสีสรรและขนาดของดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์   
     
การเป็นมงคลของกล้วยไม้
            คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไปเพราะลักษณะดอกของกล้วยไม้แสดงถึงความงดงาม ประทับใจยิ่งแก่บุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็น นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่ายังช่วยทำให้คนในบ้านเป็นผู้มีจริยธรรม เพราะการดูแลกล้วยไม้ให้เกิดดอกที่สวยงาม ต้องเป็นผู้มีจิตใจ และอุปนิสัยเยือกเย็น มีความปราณีตและละเอียดละออ ยังมีกล้วยไม้บางชนิดได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีกล้วยไม้ ได้แก่ กล้วยไม้ชื่อ คัทลียา (Catteya) ทั้งนี้เพราะมีความสวยงามมากเป็นที่ประทับใจแก่สังคมทั่วไป
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
          เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นไม้ไว้ทางทิศตะวันออกผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้  เอาประโยชน์ ทั่วไปทาดอกให้ปลูกในวันพุธ ถ้าให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น

การปลูกกล้วยไม้ วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงแบนแบบแหวนห้อยได้ จะเป็นกระถางไม้
หรือกระถางดินเผาก็ได้แต่ต้องเป็นชนิดที่โปร่งระบายน้ำได้ดีเพราะกล้วยไม้ใช้รากในการหายใจด้วยและยึดเกาะทรงต้นให้แข็งแรงด้วยขนาดกระถางปลูก6-12นิ้วถ้าใช้กระถางทรงสูงก็ได้ต้องใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวปักไว้ตรงกลางกระถางเพื่อให้รากยึดเกาะสำหรับวัสดุที่ใช้ปลูกนั้นได้แก่ดินผสมพิเศษหรือกาบมะพร้าวซึ่งลักษณะการปลูกขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ถ้าใช้เพื่อประดาบภายในอาคาร ควรให้ได้รับแสงบ้างอย่างน้อย 3 - 5 วันต่อครั้ง
2.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวเพื่อให้รากยึกเกาะจะปลูกในแปลงปลูกบริเวณบ้าน หรือทำเป็นสวนขนาดใหญ่ก็ได้ส่วนการปลูกแบบให้เกาะกับต้นไม้อื่นเช่นต้นไม้ยืนต้นวิธีปลูกโดยนำเอากาบมะพร้าวมาห่อหุ้มส่วนรากหรือโคนของกล้วยไม้เอาไว้ เพื่อให้ยึดติดกับต้นไม้ยืนต้นนั้นไว้      การปลูกแบบนี้ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วย

การดูแลรักษากล้วยไม้
แสง                 ต้องการแสงแดดรำไร หรือปานกลาง
น้ำ                    ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน / ครั้ง
ดิน                   ดินผสมพิเศษ กาบมะพร้าว
ปุ๋ย                    ปุ๋ยอินทรีย์ผสมพิเศษ หรือปุ๋ยเคมี สูตร 10-10-10 5-10-5 อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก                                         ละลายน้ำฉีดพ่นตาม ใบ ควรให้ 1 - 2 เดือน / ครั้ง
การขยายพันธุ์   การแยกหน่อ การปักชำ การเพาะเนื้อเยื่อ

โรคและปัญหาที่พบบ่อย
1.โรค             โรคเน่าดำ (Black not disease)
อาการ             ใบและลำต้นมีรอยเป็นสีดำ ต่อมาทำให้ใบเหี่ยวหลุดร่วง
การป้องกัน       - อย่าให้น้ำแฉะเกินไป
                  - รักษาความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องมือปลูก
การรักษา          ตัดหรือทำลายส่วนที่เป็นโรคทิ้ง หรือใช้ 8 ไฮดร๊อคซี่ควิโนลิ่น ซัลเฟต อัตราส่วนและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก

2.โรค               โรคเหี่ยว          Fusarium wilt
อาการ               ใบและลำต้น มีสีเหลืองซีด แห้ง บิดงอ
การป้องกัน        - อย่าให้น้ำแฉะหรือมากเกินไป
                   - รักษาความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องปลูก
การรักษา           นำต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย 

3.ศัตรู               เพลี้ยไฟ
อาการ                กลีบดอกแห้งและร่วง
การป้องกัน         ใช้ยาคลอเดน 75% อัตราและคำแนะนำการใช้ระบุไว้ตามฉลากฉีดพ่น บริเวณใบและดอกขณะ                              ดอกยังตูม

การกำจัด            ใช้ยานิโคตินซัลเฟต 40% อัตราและคำแนะนำการใช้ระบุไว้ตามฉลาก

ดอกดาวกระจาย



ชื่อวิทยาศาสตร์ Cosmos bipinnatus (KOZ-moss bye-pin-NAY-tus)
ชื่อสามัญ Mexican Aster, Cosmos, Cosmea
วงศ์ Compositae
ถิ่นเดิม ทางตะวันตกเฉียงใต้จนถึงเขตร้อนของอเมริกา เม็กซิโก
ความสูง 14 ฟุต
สี ชมพู บานเย็น ขาว และสีเหลือง

ดอกกระจายเป็นดอกไม้สีสวย กลีบดอกบาง ปลายกลีบหยักเป็นฟันเลื่อย 2-3 หยัก ส่วนมากเป็นดอกชั้นเดียว ใบโปร่งเป็นเส้นเรียว เวลาลมพัดทำให้ดอกและใบไหวดูแล้วสบายตา
ลำต้นของดาวกระจายมีทั้งชนิดต้นเตี้ยและสูง ถ้าปลูกในสภาพวันยาวเช่นในฤดูฝน ต้นจะเจริญเติบโตทางกิ่งก้านทำให้ใต้ต้นสูงกว่า มีใบมากและออกดอกช้ากว่าเมื่อปลูกในสภาพวันสั้น เช่นในฤดูหนาว ถ้าดินค่อนข้างแห้งแล้ง ต้นจะให้ดอกเร็วแต่ได้ดอกเล็กและค่อนข้างแกร็น มีคำแนะนำว่าให้เอาขี้เถ้าโรยรอบต้นเพื่อให้ออกดอกดก อันที่จริงดาวกระจายขึ้นได้ในดินทุกชนิด ที่ปลูกต้องมีแดดจัด ระบายนํ้าดี และไม่สมบูรณ์เกินไปจะเหมาะที่สุด

ดาวกระจายมี 2 ชนิดคือ

1. Cosmos bipinnatus ให้ดอกสีชมพู ม่วง แดง และขาว ที่เรียกกันว่ากลุ่ม Sensation type มีใบโปร่งเป็นเส้นเรียวจักลึก เช่นพันธุ์Sensation ต้นสูงประมาณ 3 ฟุต ดอกใหญ่ 3 นิ้ว กลีบดอกแบนเป็นแผ่นเรียงกันชั้นเดียว เจริญเติบโตได้ดี เลี้ยงง่าย ใช้เป็นไม้ตัดดอกได้ด้วย พันธุ์ Sensation ได้ AAS ตั้งแต่ 1936

    1. พันธุ์ Sea Shells มีสีต่างๆ เหมือนพันธุ์ Sensation แต่แทนที่กลีบดอกจะเป็นแผ่นแบน กลับม้วนเชื่อมตัวตามความยาวเห็นเป็นหลอด มีปลายกว้างออกเล็กน้อยดูสวยแปลกตา ใจกลางดอกสีเหลือง มีทั้งดอกสีพื้นและสองสีคือ ด้านในของหลอดเป็นสีเข้ม ด้านนอกสีอ่อนกว่า พันธุ์นี้เลี้ยงยากกว่าและเติบโตได้ไม่ดีเท่าพันธุ์ Sensation
    2. พันธุ์ Psyche ลักษณะและสีดอกคล้ายพันธุ์ Sensation แต่มีกลีบดอกมากกว่า 1 ชั้น จัดเป็นพวกดอกกึ่งซ้อน
    3. พันธุ์ Purity มีกลีบดอกชั้นเดียว สีขาวบริสุทธิ์
    4 .พันธุ์ Imperial Pink เป็นพวกเตตราพลอยด์ ดอกใหญ่ 4 นิ้ว ดอกสีแดงมีขีด สีชมพู ใจกลางดอกสีทอง ต้นสูง 2.5 ฟุต เนื่องจากใช้พลังงานในการสร้างดอกขนาดใหญ่ทำให้ต้นติดเมล็ดน้อย
    5.      พันธุ์ใหม่ปี 1990 นี้ชื่อ Daydream ดอกสีชมพูอ่อน ตรงใจกลางดอกสีชมพูเข้ม ดอกเล็กกว่าพันธุ์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ให้ดอกดกและเมื่อดอกเหี่ยวแล้วจะร่วงไปเอง ต้นสูง 36 นิ้ว
       6 . พันธุ์ใหม่อีกพันธุ์หนึ่งคือ Butterkist สีเหลืองใส มีวงสีขาวตรงใจกลางดอก สูง 1 เมตร เหมาะสำหรับตัดดอกปักแจกัน

2. Cosmos sulphureus    มีดอกสีเหลือง ส้ม และแดง เรียกกันว่ากลุ่ม Klondyke type ขนาดเล็กกว่า ใบเป็นแฉกใหญ่กว่าของกลุ่ม Sensation
    1.พันธุ์ Sunny Series สีแดง ได้แก่พันธุ์ Sunny Red นับว่าเป็นดาวกระจาย สีแดงที่สุดในดาวกระจายสีแดงที่มีอยู่ในปัจจุนันนี้ พันธุ์ Sunny Red ได้ AAS เมื่อ 1986 และได้ Fleuroselect ด้วย ดอกมีทั้งชั้นเดียวและกึ่งซ้อน ต้นสูง 1224 นิ้ว แตกกอได้ดี พันธุ์ Sunny Gold ดอกกึ่งซ้อนขนาด 2 นิ้ว ต้นสูงกว่า Sunny Red เล็กน้อย คือสูงประมาณ 1418 นิ้ว ทั้งสองพันธุ์ให้ดอกดกมาก และดอกบานติดต่อกันได้นาน เหมาะจะปลูกประดับแปลง เพราะต้นไม่สูงเกินไป หรือจะใช้ปลูกเป็นไม้กระถางก็สวยดี ชุด Sunny นี้มี Sunny Orange สีส้ม และ Sunny Yellow สีเหลืองด้วย
    2.Bright Lights mixed มีสีแดง เหลือง และส้ม เป็นพันธุ์ที่ออกมาก่อนเพื่อนในกลุ่มนี้ ต้นสูง 2.5 ฟุต ดอกกึ่งซ้อน ใช้เป็นไม้ตัดดอกได้ดี
    3. Diablo ดอกกึ่งซ้อนขนาด 2 นิ้ว สีส้มอมแดง ต้นสูง 2.5 ฟุต ได้ AAS เมื่อ 1974
นักผสมพันธุ์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Masayuki Hashimoto ใช้พันธุ์ Diablo นี้ผสมกับพันธุ์ Sunset สีแดงอมทอง ซึ่งได้ AAS เมื่อปี 1966 ได้พันธุ์ Sunny Red และ ได้รางวัล AAS ไปเมื่อ 1986